พระครูวิสุทธิวงศาจาริย์ญาณมุนี(พ่อท่านแช่ม) ตำแหน่ง สังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต
พ่อท่านแช่มชาตะ ๒๓๗๐
มรณภาพ ๒๔๕๑ พ่อท่านแช่ม เป็นบุตรชาวบ้านในตำบลบ่อแสน อำเภอทับปุด จังหวัดพังงา พ่อแม่ส่งให้มาอยู่ ณ วัดฉลอง เป็นศิษย์ของพ่อท่านเฒ่าตั้งแต่เล็ก เมื่อมีอายุพอจะบวชได้ ก็บวชเป็นสามเณร และ ต่อมาเมื่อมีอายุถึงที่จะบวชเป็นพระภิกษุก็บวชเป็นภิกษุจำพรรษา อยู่ ณ วัดฉลองนี้ พ่อท่านแช่ม ได้ศึกษาวิปัสสนาธุระจากท่านพ่อท่านเฒ่าจนเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญทางวิปัสสนาธุระเป็นอย่างสูง ความมีชื่เสียงของพ่อท่านแช่มปรากฎชัดในคราวที่พ่อท่านแช่มเป็นหัวหน้าปราบอั้งยี่ ซึ่งท่านจะได้ทราบต่อไปนี้
ในปีพุทธศักราช ๒๔๑๙ กรรมกรเหมืองแร่เป็นจำนวนหมื่น ในจังหวัดภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียงได้ซ่องสุมผู้คนก่อตั้งเป็นคณะขึ้นเรียกว่า อั้งยี่ โดยเฉพาะพวกอั้งยี่ในจังหวัดภูเก็ตก่อเหตุวุ่นวายถึงขนาดจะเข้ายึดการปกครองของจังหวัดเป็นของพวกตน ทางราชการในสมัยนั้นไม่อาจปราบให้สงบราบคาบได้ พวกอั้งยี่ถืออาวุธไล่ ยิง ฟัน ชาวบ้านล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านไม่อาจต่อสู้ป้องกันตนเองและทรัพย์สิน ที่รอดชีวิตก็หนีเข้าป่าไป เฉพาะในตำบลฉลองชาวบ้านได้หลบหนีเข้าป่า เข้าวัด ทิ้งบ้านเรือนปล่อยให้พวกอั้งยี่เผาบ้านเรือนหมู่บ้านซึ่งพวกอั้งยี่เผา ได้ชื่อว่า บ้านไฟไหม้ จนกระทั่งบัดนี้
ชาวบ้านที่หลบหนีเข้ามาในวัดฉลอง เมื่อพวกอั้งยี่รุกไล่ใกล้วัดเข้ามาต่างก็เข้าไปแจ้งให้พ่อท่านแช่มทราบ และนิมนต์ให้พ่อท่านแช่ม หลบหนีออกจากวัดฉลองไปด้วย พ่อท่านแช่มไม่ยอมหนี ท่านว่า ท่านอยู่ที่วัดนี้ตั้งแต่เด็กจนบวชเป็นพระและเป็นเจ้าวัดอยู่ขณะนี้จะให้หนีทิ้งวัดไปได้อย่างไร
เมื่อพ่อท่านแช่มไม่ยอมหนีทิ้งวัด ชาวบ้านต่างก็แจ้งพ่อท่านแช่มว่า เมื่อพ่อท่านไม่หนี พวกเขาก็ไม่หนีจะขอสู้มันละ พ่อท่านมีอะไรเป็นเครื่องคุ้มกันตัวขอให้ทำให้ด้วย พ่อท่านแช่มจึงทำผ้าประเจียดแจกให้โพกศีรษะคนละผืน เมื่อได้ของคุ้มกันคนไทยชาวบ้านฉลองก็ออกไปชักชวนคนอื่น ๆ ทีหลบหนีไปอยู่ตามป่า กลับมารวมพวกกันอยู่ในวัด หาอาวุธ ปืน มีด เตรียมต่อสู้กับพวกอั้งยี่ พวกอั้งยี่ เที่ยวรุกไล่ ฆ่า ฟัน ชาวบ้าน ไม่มีใครต่อสู้ก็ชะล่าใจ ประมาทรุกไล่ ฆ่าชาวบ้านมาถึงวัดฉลอง ชาวบ้านซึ่งได้รับผ้าประเจียดจากพ่อท่านแช่มโพกศีรษะไว้ก็ออกต่อต้านพวกอั้งยี่ พวกอั้งยี่ไม่สามารถทำร้ายชาวบ้านก็ถูกชาวบ้านไล่ ฆ่า ฟันแตกหนีไป ครั้งนี้เป็นชัยชนะครั้งแรกของไทยชาวบ้านฉลอง ข่าวชนะศึกครั้งแรกของชาวบ้านฉลอง รู้ถึงชาวบ้านที่หลบหนีไปอยู่ที่อื่น ต่างก็พากันมายังวัดฉลอง รับอาสาว่า ถ้าพวกอั้งยี่มารบอีกก็จะต่อสู้ ขอให้พ่อท่านแช่มจัดเครื่องคุ้มครองตัวให้ พ่อท่านแช่มก็ทำผ้าประเจียดแจกจ่ายให้คนละผืน พร้อมกับแจ้งแก่ชาวบ้านว่า “ ข้าเป็นพระสงฆ์ จะรบราฆ่าฟันกับใครไม่ได้ พวกสูจะรบก็คิดอ่านกันเอาเอง ข้าจะทำเครื่องคุณพระให้ไว้สำหรับป้องกันตัวเท่านั้น” ชาวบ้านเอาผ้าประเจียดซึ่งพ่อท่านแช่มทำให้โพกศีรษะเป็นเครื่องหมายบอกต่อต้านพวกอั้งยี่
พวกอั้งยี่ให้ฉายาคนไทยชาวบ้านฉลองว่า พวกหัวขาว ยกพวกมาโจมตีคนไทยชาวบ้านฉลองหลายครั้ง ชาวบ้านถือเอากำแพงพระอุโบสถเป็นแนวป้องกันอั้งยี่ไม่สามารถตีฝ่าเข้ามาได้ ภายหลังจัดเป็นกองทัพเป็นจำนวนพัน ตั้งแม่ทัพ นายกอง มีธงรบ ม้าล่อ เป็นเครื่องประโคมขณะรบกัน ยกทัพเข้าล้อมรอบ กำแพงพระอุโบสถ ยิงปืน พุ่งแหลน พุ่งอีโต้ เข้ามาที่กำแพง เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่บรรดาชาวบ้านซึ่งได้เครื่องคุ้มกันตัวจากพ่อท่านแช่มต่างก็แคล้วคลาดไม่ถูกอาวุธของพวกอั้งยี่เลย รบกันจนเที่ยงพวกอั้งยี่ยกธงขอพักรบ ถอยไปพักกันใต้ร่มไม้ หุงหาอาหาร ต้มข้าวต้มกินกัน ใครมีฝิ่นก็เอาฝิ่นออกมาสูบ อิ่มหนำสำราญแล้วก็นอนพักผ่อนชาวบ้านแอบดูอยู่ในกำแพงโบสถ์ เห็นได้โอกาสขณะที่พวกอั้งยี่เผลอก็ออกไปโจมตีบ้าง พวกอั้งยี่ไม่ทันรู้ตัวก็ล้มตายและแตกพ่ายไป หัวหน้าอั้งยี่เผลอก็ออกไปโจมตีบ้าง พวกอั้งยี่ไม่ทันรู้ตัวก็ล้อมตายและแตกพ่ายไป หัวหน้าอั้งยี่ประกาศให้สินบน ใครสามารถฆ่าหรือจับตัวพ่อท่านแช่มวัดฉลองไปมอบตัวให้จะให้เงินถึง ๕,๐๐๐ เหรียญ
เล่าลือกันทั่วไปในวงการอั้งยี่ว่า คนไทยชาวบ้านฉลองซึ่งได้รับผ้าประเจียดของพ่อท่านแช่มโพกศีรษะ ล้วนแต่เป็นยักษ์มารคงทนต่ออาวุธ ไม่สามารถทำร้ายได้ ยกทัพมาตีกี่ครั้ง ๆ ก็ถูกตีกลับไปในที่สุดเจรจาขอหย่าศึกยอมแพ้แก่ชาวบ้านศิษย์พ่อท่านแช่ม โดยไม่มีเงื่อนไข
คณะกรรมการเมืองภูเก็ต ได้ทำรายงานกราบทูลไปยังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้คณะกรรมการเมืองนิมนต์พ่อท่านแช่ม ให้เดินทางไปยังกรุงเทพมหานครมีพระประสงค์จะทรงปฏิสันถารกับพ่อท่านแช่มด้วยพระองค์เอง พ่อท่านแช่มและคณะเดินทางถึงกรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานสมณศักดิ์พ่อท่านแช่ม เป็นพระครูวิสุทธิวงศาจาริย์ญาณมุนี ให้มีตำแหน่งเป็นสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต อันเป็นตำแหน่งสูงสุดซึ่งบรรพชิตจักพึงมีในสมัยนั้น
ในโอกาสเดียวกัน ทรงพระราชทานนามวัดฉลอง เป็น วัดไชยธาราราม จากคำบอกเล่าของคณะผู้ติดตามพ่อท่านแช่มไปในครั้งนั้นแจ้งว่ามีพระสนมองค์หนึ่งในรัชกาลที่ ๕ ป่วยเป็นอัมพาต พ่อท่านแช่มได้ทำน้ำพระพุทธมนต์ให้รดตัวรักษา ปรากฏว่าอาการป่วยหายลงได้เร็วจนสามารถลุกนั่งได้อนึ่ง การเดินทางไปและกลับจากจังหวัดภูเก็ตกับกรุงเทพมหานครในสมัยนั้นลำบากมาก ต้องเดินทางรอนแรมผ่านจังหวัดต่าง ๆ โดยทางเท้า ขากลับเดินทางผ่านวัด ๆ หนึ่งในจังหวัดชุมพร พ่อท่านแช่มและคณะได้เข้าพักระหว่างทาง ณ ศาลาหน้าวัดเจ้าอาวาสวัดนั้นนิมนต์ให้พ่อท่านแช่มเข้าไปพักในวัด แต่พ่อท่านแช่มเกรงใจ และแจ้งว่าตั้งใจจะพักที่ศาลาหน้าวัดแล้วก็ขอพักที่เดิมเถิด เจ้าอาวาสและชาวบ้านในละแวกนั้นบอกว่า การพักที่ศาลาหน้าวัดอันตรายอาจเกิดจากพวกโจร จะมาลักเอาสิ่งของพ่อท่านแช่มและคณะไปหมด พ่อท่านแช่มตอบว่า เมื่อมันเอาไปได้ มันก็คงเอามาคืนได้ เจ้าอาวาสและชาวบ้านอ้อนวอน พ่อท่านแช่มก็คงยืนยันขอพักที่เดิม เล่าว่า ตกตอนดึกคืนนั้น โจรป่ารวม ๖ คน เข้ามาล้อมศาลาไว้ ขณะนั้นคนอื่น ๆ หลับหมดแล้ว คงเหลือแต่พ่อท่านแช่มองค์เดียวพวกโจรเอื้อมเอาของไม่ถึง พ่อท่านแช่มก็ช่วยผลักของให้ สิ่งของส่วนมากบรรจุปี๊บใส่สาแหรก พวกโจรพอได้ของก็พากันขนเอาไป
รุ่งเช้าเจ้าอาวาสและชาวบ้านมาเยี่ยม ทราบเหตุที่เกิดขึ้นก็พากันไปตามกำนันนายบ้านมาเพื่อจะไปตามพวกโจร พ่อท่านแช่มก็ห้ามมิให้ตามไป ต่อมาครู่หนึ่ง พวกโจรก็กลับมา แต่การกลับมาคราวนี้หัวหน้าโจรถูกหามกลับมาพร้อมกับสิ่งของซึ่งลักไปด้วย กำนันนายบ้านก็เข้าคุมตัว หัวหน้าโจรปวดท้องจุกเสียดร้องครางโอดโอย ทราบว่าระหว่างที่ขนของซึ่งพวกตนขโมยไปนั้น คล้ายกับมีเสียงบอกว่า ให้ส่งของกลับไปเสีย มิฉะนั้น จะเกิดอาเพท พวกโจรไม่เชื่อขนของต่อไปอีกหัวหน้าโจรจึงเกิดมีอาการจุกเสียดขึ้นจนไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ เลยปรึกษากันตกลงขนสิ่งของกลับคืน พ่อท่านแช่มสั่งสอนว่า ต่อไปขอให้เลิกเป็นโจร อาการปวดก็หาย กำนันนายบ้านจะจับพวกโจรส่งกรมการเมืองชุมพร แต่พ่อท่านแช่มได้ขอร้องมิให้จับกุมขอให้ปล่อยตัวไป
ไม่เพียงแต่ชนชาวไทยในภูเก็ตเท่านั้นที่มีความเคารพเลื่อมใสในองค์พ่อท่านแช่ม ชาวจังหวัดใกล้เคียงตลอดจนชาวจังหวัดต่าง ๆ ในมาเลเซีย เช่น ชาวจังหวัดปีนัง เป็นต้น ต่างก็ให้ความเคารพนับถือในองค์พ่อท่านแช่มเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะชาวพุทธในจังหวัดปีนัง ยกย่องพ่อท่านแช่มเป็นเสมือนสังฆปาโมกข์เมืองปีนัง ด้วย
การปราบอั้งยี่ในครั้งนั้น เมื่อพวกอั้งยี่แพ้ศึกแล้วก็หันมาเลื่อมใสให้ความเคารพนับถือต่อพ่อท่านแช่มเป็นอย่างมาก แม้แต่ผู้ซึ่งนับถือศาสนาอื่นก็มีความเคารพเลื่อมใสต่อพ่อท่านแช่ม เกิดเหตุอาเพทต่าง ๆ ในครัวเรือนต่างก็บนบานพ่อท่านแช่มให้ช่วยจัดปัดเป่าให้ ชาวเรือพวกหนึ่งลงเรือพายออกไปหาปลาในทะเลถูกคลื่น และพายุกระหน่ำจนเรือจวนล่ม ต่างก็บนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ให้คลื่นลมสงบ แต่คลื่นลมกลับรุนแรงขึ้น ชาวบ้านคนหนึ่งนึกถึงพ่อท่านแช่มได้ ก็บนพ่อท่านแช่มว่าขอให้พ่อท่านแช่มบันดาล ให้คลื่นลมสงบเถิด รอดตายกลับถึงบ้านจะปิดทองที่ตัวพ่อท่านแช่มเล่าให้พ่อท่านแช่มทราบและขอปิดทองที่ตัวท่าน พ่อท่านแช่มบอกว่า ท่านยังมีชีวิตอยู่จะปิดทองยังไง ให้ไปปิดที่พระพุทธรูป ชาวบ้านกลุ่มนั้นก็บอกว่า ถ้าพ่อท่านไม่ให้ปิดหากแรงบนทำให้เกิดอาเพทอีก จะแก้อย่างไร ในที่สุดพ่อท่านแช่มก็จำต้องยอมให้ชาวบ้านปิดทองที่ตัวท่านโดยให้ปิดที่แขนและเท้าชาวบ้านอื่น ๆ ก็บนตามอย่างด้วยเป็นอันมาก พอพ่อท่านแช่มออกจากวัดไปทำธุระในเมือง ชาวบ้านต่างก็นำทองคำเปลวรอคอยปิดทองที่หน้าแข้งของพ่อท่านแทบทุกบ้านเรือนจนถือเป็นธรรมเนียม เมื่อกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จมาจังหวัดภูเก็ตนิมนต์ให้พ่อท่านแช่มไปหา ก็ยังทรงเห็นทองคำเปลวปิดอยู่ที่หน้าแข้งของพ่อท่านแช่มนับเป็นพระภิกษุองค์แรกของเมืองไทยที่ได้รับการปิดทองแก้บนทั้ง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่
แม้แต่ไม้เท้าของพ่อท่านแช่ม ซึ่งท่านถือเป็นประจำกายก็มีความขลังประวัติความขลังของไม้เท้ามีดังนี้ เด็กหญิงรุ่นสาวคนหนึ่ง เป็นคนชอบพูดอะไรทะลึ่ง จึงบนพ่อท่านแช่มว่า ขอให้อาการปวดท้องหายเถิด ถ้าหายแล้วจะนำทองไปปิดที่ของลับของท่านพ่อท่านแช่มอาการปวดท้องก็หายไป เด็กหญิงคนนั้นเมื่อหายแล้วก็ไม่สนใจ ถือว่าพูดเป็นเล่นสนุก ๆ ต่อมาอาการปวดท้องเกิดขึ้นมาอีกพ่อแม่สงสัยจะถูกแรงสินบน จึงปลอบถามเด็ก เด็กก็เล่าให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่จึงนำเด็กไปหาพ่อท่านแช่ม พ่อท่านแช่มกล่าวว่า ลูกมึงบนสัปดนอย่างนี้ใครจะให้ปิดทองอย่างนั้นได้ พ่อแม่เด็กต่างก็อ้อนวอนกลัวลูกจะตายเพราะไม่ได้แก้บน ในที่สุดพ่อท่านคิดแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้โดยเอาไม้เท้านั่งทับสอดเข้าให้เด็กหญิงคนนั้นปิดทองที่ปลายไม้เท้า กลับบ้านอาการปวดท้องจุกเสียดก็หายไป ไม้เท้าของพ่อท่านแช่มอันนี้ยังคงมีอยู่ และใช้เป็นไม้สำหรับจี้เด็ก ๆ ที่เป็นไส้เลื่อน เป็นฝีเป็นปาน อาการเหล่านั้นก็หายไปหรือชะงักการลุกลามต่อไปเป็นที่น่าประหลาด
พ่อท่านแช่มมรณภาพในปี พ.ศ.๒๔๕๑ เมื่อมรณภาพบรรดาศิษย์ได้ตรวจหาทรัพย์สินของพ่อท่านแช่มปรากฏว่าพ่อท่านแช่มมีเงินเหลือเพียง ๕๐ เหรียญเท่านั้น ความทราบถึงบรรดาชาวปีนังและจังหวัดอื่นในมาเลเซีย ต่างก็นำเงิน ขนเอาเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น มีข้าวสาร เป็นต้น มาช่วยเหลือหลายเรือสำเภา งานศพของพ่อท่านแช่มจัดได้ใหญ่โตมโหฬารที่สุดในจังหวัดภูเก็ตหรืออาจจะกล่าวได้ว่ามโหฬารที่สุดในภาคใต้บารมีของพ่อท่านแช่มก็มีมาจนกระทั่งปัจจุบัน
ที่มา -
http://www.phuketdata.net