เรียกว่า 'ตื่นตัว' ประเดี๋ยวประด๋าว ชั่วครั้งชั่วคราว เมื่อมีสถิติใหม่ๆ ออกมาตอกย้ำความสามารถทางภาษาของคนไทย โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ที่หลายฝ่ายต่างมุ่งมั่นตั้งใจ 'เคี่ยวกร่ำทักษะ' ให้พ้นจากโซนตกชั้น มาแรมปี!

และสถิติล่าสุดจากการรายงานข่าวของ The Jakata Post ที่เปิดเผยถึงระดับความสามารถใน "ภาษาอังกฤษ" ของคนไทย ด้วยการอ้างอิงผลการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาภาษาอังกฤษ English Proficiency Index ประจำปี 2556 ที่จัดโดย Education First และพบว่าประเทศไทยติดอยู่ในอันดับที่ 55 จากการทดสอบบุคคลในประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่จำนวน 60 ประเทศทั่วโลก
วันนี้ "ไทยรัฐออนไลน์" พูดคุยกับ 2 บุคคลที่สามารถพูดได้ว่า ภาษาอังกฤษคือใบเบิกทางของชีวิต และการเรียนรู้สิ่งใหม่ในโลก นั่นคือ ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และ น.ส.รวิกานต์ เดชดี International Marketing Executive ของบริษัท Galaxy works groups และพิธีกรรายการท่องเที่ยวภาคภาษาอังกฤษ Thailand@Large ทางช่อง NBT World
(ซ้าย) ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต (ขวา) น.ส.รวิกานต์ เดชดีวิเคราะห์สถานการณ์ภาษาอังกฤษเด็กไทย อะไรเป็นสาเหตุ? ผศ.ดร.วรัชญ์ วิเคราะห์สถานการณ์ภาษาอังกฤษของเด็กไทยในปัจจุบันให้ "ไทยรัฐออนไลน์" ฟังว่า ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าช่องว่างระหว่างคนที่ได้ภาษาอังกฤษ และไม่ได้ภาษาอังกฤษห่างกันมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับสมัยก่อนที่เด็กมีโอกาสเรียนภาษาอังกฤษเท่าๆ กัน แต่ขณะนี้มีปัจจัยอื่น เช่น มีโรงเรียนนานาชาติ มีหลักสูตรสองภาษา หรือมีโรงเรียนกวดวิชา แน่นอนว่า เด็กที่ครอบครัวไม่มีทุนส่งเสริมในด้านนี้ก็จะถูกตัดโอกาส และเท่าที่สัมผัสมาตรฐานของนักศึกษาปริญญาตรี ปริญญาโท ถือว่ายังไม่น่าพอใจ เพราะการเขียนนั้นควรสื่อสาร หรือแสดงออกในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาให้ได้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาความกล้าที่จะพูด
ผศ.ดร.วรัชญ์ วิเคราะห์ต่อไปว่า สาเหตุที่ทำให้เด็กไม่กล้าแสดงออกเรื่องภาษาอังกฤษ อาจเป็นเพราะวัฒนธรรมในสังคมไทยที่เป็นแบบ Collecttive Culture คือ ไม่ชื่นชอบการเสียหน้า หรือจะทำอะไรที่ไม่ถนัด หรือไม่มั่นใจ นอกจากนี้ ความไม่คุ้นเคยหรือไม่มีโอกาสออกไปใช้ภาษาอังกฤษนอกห้องเรียนก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เกิด "ความกลัว"
เช่นเดียวกับรวิกานต์ ที่ก่อนหน้าได้ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ที่ประเทศอังกฤษ เกี่ยวกับระบบการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย พบว่า แหล่งข่าววงในวงการการศึกษาธิการต่างก็ตระหนักดีว่า เราเน้นการสอนแกรมม่ามากเกินไป และสอนกันมาแบบผิดธรรมชาติ รวมถึงการไม่ฝึกฝนของตัวผู้เรียนเอง
"เชื่อว่าทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของภาษาอังกฤษ เพราะไม่งั้น จะไม่มีการบรรจุภาษาอังกฤษเข้าไปในหลักสูตรการเรียนการสอน แล้วจำนวนโรงเรียนกวดวิชา และติวเตอร์ภาษาอังกฤษก็เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ภาษาอังกฤษยังไงก็สำคัญ ต่อให้มีภาษาอะไรเกิดขึ้นมาใหม่ แต่ภาษานี้ก็จะยังเป็นภาษากลางอยู่ดี เพราะภาษากลางไม่ได้เปลี่ยนได้ทันที คิดดูว่าเรา เรียนกันมาตั้งแต่อนุบาล รวมเวลา 10-15 ปี เราควรเป็นผู้เชี่ยวชาญเลยด้วยซ้ำ การใช้งานได้จริงเมื่อเรียนจบ กลับน้อยมาก" รวิกานต์ กล่าว
รวิกานต์ยังระบุอีกว่า ช่องโหว่ของโอกาสระหว่างเด็กที่ครอบครัวมีฐานะ และครอบครัวยากจน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำของการเรียนรู้ ขณะเดียวกันคุณภาพของครูที่สอน ก็ต้องยอมรับว่า บางคนยังสอนได้ไม่ดี เลือกใช้คำได้ไม่ถูก นำหลักสูตรทั้งของอังกฤษ และอเมริกันมาปะปนกัน จนทำให้เด็กสับสนในการทำความเข้าใจ
เจาะเทคนิค "ฝึกภาษาอังกฤษ" ทำเองได้ ไม่ยากเลยมาถึงจุดนี้ "ไทยรัฐออนไลน์" จึงรวบรวมเทคนิคการ "ฝึกภาษาอังกฤษ" จากการพูดคุยทั้ง 2 คน นั่นคือ "การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้เสมือนจริง"
ดูภาพยนตร์ ถูกแนะนำเป็นอันดับแรก เพราะการดูภาพยนตร์ที่มีซับไตเติ้ลเป็นภาษาอังกฤษนั้น โดยหลีกเลี่ยงซับไตเติ้ลภาษาไทย จะทำให้เรารู้จักธรรมชาติการพูดคุยที่แท้จริงว่าเขาออกเสียงอย่างไร ใช้รูปประโยคไหน และสนทนากันอย่างไร โดยให้เลือกภาพยนตร์ที่เราชื่นชอบ การ์ตูน ซีรีส์ นอกจากนี้ยังได้เรื่องการฟังอีกด้วย และถ้าหากช่วงแรกฟังไม่รู้เรื่อง ก็ขอให้อดทนฟังต่อไป ไม่ต้องตกใจ ทำไปเรื่อยๆ และจะค่อยๆ ฟังออกเอง
ฟังเพลง-ร้องเพลงตาม หากอยากฝึกเรื่องการฟังมากกว่านี้ หรือฟังสำเนียง สามารถใช้ได้จากการร้องฟังและร้องเพลงภาษาอังกฤษ ซึ่งสมัยนี้หาง่ายมากในอินเทอร์เน็ตที่จะมีคาราโอเกะไปด้วย ยิ่งหากเป็นเด็กเล็กก็จะยิ่งช่วยให้เรื่องการกระดกลิ้น หรือฟอร์มรูปปาก เพื่อให้เสียงที่ออกมานั้นถูกต้องตามหลัก
เขียนไดอารี่ รวิกานต์ บอกว่า วิธีนี้เป็นวิธีที่เธอทำสมัยยังเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ซึ่งโฮสต์ให้เธอเล่าว่า ในแต่ละวันทำอะไรมาบ้าง เมื่อหัดไปเรื่อยๆ แล้วนำบันทึกครั้งแรกมาเปรียบเทียบกับบันทึกครั้งล่าสุด หลังจากสิบเดือนให้หลัง ทำให้เห็นถึงพัฒนาการของการเขียน สำนวน และชุดคำที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเธอก็แนะนำวิธีนี้ให้ป็นหนึ่งในการฝึกภาษาอังกฤษ
ตั้งค่าทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษ ทั้ง ผศ.ดร.วรัชญ์ และรวิกานต์พูดตรงกันว่า การตั้งค่าทุกอย่างให้เป็นภาษาอังกฤษ เป็นอีกตัวช่วยให้เราคุ้นชินกับการมอง เห็น และอ่านภาษาอังกฤษ เราสามารถตั้งค่าได้ทุกสิ่ง เช่น เมนูในมือถือของเรา เฟซบุ๊ก หรือโชเชียลมีเดียอื่นๆ หรืออาจลองตั้งสเตตัสเป็นภาษาอังกฤษดูบ้าง
ดูข่าว อ่านข่าว อ่านอะไรก็ได้ที่เป็นภาษาอังกฤษ วิธีนี้ช่วยให้ซึมซับสำนวน และการเขียนไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่ง ผศ.ดร.วรัชญ์ แนะนำว่า ให้เริ่มอ่านจากสิ่งที่เราชอบ หรือสนใจก่อนเป็นอันดับแรก เพราะจะทำให้เราไม่เบื่อ เช่น ข่าวกีฬา ข่าวบันเทิง อ่านไม่รู้เรื่องก็ต้องอ่าน และพยายามอ่านไป มีศัพท์ที่ไม่รู้จริงๆ ค่อยเปิดดิกชันนารีที่เป็นอังกฤษแปลอังกฤษ เพื่อฝึกไปอีกทอดหนึ่ง
ภาพจากเพจ Movies Quotes ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งภาพยนตร์เรื่อง Manhattan (1979)ฝึกพูดหน้ากระจก ไม่ต้องอายตัวเอง หากคุณจะต้องพูดกับตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งรวิกานต์เองก็ใช้วิธีนี้ "เริ่มต้นด้วยการพูดด้วยตัวเอง ตอนนั้นอยากเป็นผู้ประกาศข่าวภาษาอังกฤษมาก ก็นั่งพูดเลย ค่อยๆ ออกเสียง พยายามออกเสียงให้ถูก ดูการฟอร์มรูปปากให้ถูกต้อง ซึ่งในกูเกิลมีหมดเลย มันอยู่ที่เราขวยขวาย บางคนคิดว่า ภาษาอังกฤษต้องพูดเร็ว แต่จริงๆ แล้วพูดช้าแต่ชัวร์ดีกว่า เพราะตัวอังกฤษทุกตัวมีเสียงของมัน เดี๋ยวเราพูดได้พูดคล่อง เราก็จะพูดเร็วเอง"
อดทน อดกลั้น และฝึกฝน เป็นเทคนิคสุดท้าย ที่มีผลมากที่สุดในบรรดาข้อแนะนำที่กล่าวมา ซึ่งรวิกานต์บอกว่า เมื่อฝึกไปได้สักพักจะเจอจุดที่ท้อ ซึ่งจุดนั้น จะเป็นตัวกำหนดว่า เราจะเดินหน้า หรือถอยหลังกลับดี ดังนั้น จึงต้องถามตัวเองอยู่เสมอว่า อยากได้ภาษาอังกฤษเพราะอะไร มีเป้าหมายอย่างไร ส่วนเหตุผลว่า เราโตเกินไปที่จะฝึกนั้นเป็นข้ออ้างมากกว่า เพราะ "ไม่มีใครแก่เกินเรียน" ขอแค่ว่า เราอยากได้สิ่งนั้นมากแค่ไหน
รวิกานต์ แนะนำว่า ลองให้เวลากับภาษาอังกฤษสักวันละ 2-3 ชั่วโมง แล้วจะเห็นการเปลี่ยนแปลง เพราะมีคนหลายคนที่อยากเก่งภาษา และรู้ว่าจะทำให้อย่างไร เรื่องนี้ก็เหมือนการหัดปั่่นจักรยาน เล่นดนตรี ที่เราไม่สามารถทำได้ในครั้งแรก แต่ก็จะมีบางคนที่มีพรสวรรค์ ก็จะสามารถทำได้ดีตั้งแต่ช่วงแรก แต่เมื่อไม่มีพรสวรรค์ จึงต้องใช้พรแสวงแทน โดยยกตัวอย่างประสบการณ์เมื่อครั้งได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
"มีคนเข้าใจผิดเยอะ ว่าไปแลกเปลี่ยนเพียงปีเดียวจะได้ภาษาเลย แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ สามเดือนแรกจะร้องไห้กลับไทยทุกวัน เพราะฟังไม่ได้ฟังไม่รู้เรื่องเลย ต้องเดินไปบอกครูที่สอนว่า ให้เขียนการบ้านให้หน่อย เพราะฟังไม่ได้ แต่ที่นี้เราได้เปรียบแค่ว่าบรรยากาศมันบังคับต้องพูดให้ได้ แล้วโฮสต์ก็เข้มงวดเรา ให้พูดภาษาไทยได้แค่ 20 นาทีต่อสัปดาห์เท่านั้น ทำให้เรารู้ว่าแก่นแท้ของการฝึกภาษาอังกฤษนั้นคืออะไร"
ด้าน ผศ.ดร.วรัชญ์ บอกว่า ไม่ควรฝึกอะไรที่ทำให้หนัก หรือบังคับตัวเองมากเกินไป เพราะจะทำให้เราเบื่อง่าย แต่ภาษาอังกฤษเมื่อเรียนมาแล้ว หากไม่ใช้ หรือไม่พัฒนา เพราะกลัวเสียหน้า หรือกลัวอาย ก็จะยิ่งทำให้เราไม่ได้มากขึ้น เพราะภาษาเป็นเรื่องของทักษะ และทักษะจำเป็นต้องใช้การฝึกอย่างต่อเนื่อง เหมือนการต่อเติมบ้านที่จะต้องค่อยๆ ทำ
มีทุกวันนี้ เพราะมี "ภาษาอังกฤษ" เป็นทางใบเบิก แน่นอนว่าบุคคลที่ "ไทยรัฐออนไลน์" หยิบยกมาในวันนี้ เป็นผู้ที่มีทักษะภาษาอังกฤษในระดับดีมาก โดยทั้ง 2 สามารถพูดได้ว่า ที่มีทุกวันนี้ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ามีทักษะด้านนี้ โดย ผศ.ดร.วรัชญ์ ระบุว่า ที่เรียนจบปริญญาเอกมาได้ เพราะได้ภาษาอังกฤษ
"ภาษาอังกฤษเหมือนเป็นกุญแจเปิดโลก เป็นเหมือนขุมทรัพย์แห่งความรู้ ที่รอให้เราไปเก็บเกี่ยว บางคนเก่งมาก เก่งกว่าผมอีก แต่ภาษาอังกฤษอาจไม่ดีนัก ก็เสียโอกาส ยกตัวอย่างคนที่อยากไปเรียนต่อที่เมืองนอก แต่ไม่ได้ภาษา ก็ไปเรียนไม่ได้ มันไม่ใช่ว่าคุณไม่เก่งนะ แค่คุณไม่มีกุญแจดอกนั้น และก็ต้องยอมรับว่าความรู้ต่างๆ สมัยนี้อยู่ในรูปแบบของอังกฤษ อยากรู้อะไรก็กูเกิล หาข้อมูลเองที่ดีที่สุด ไม่ต้องรอให้คนมาแปลให้ ซึ่งบางทีก็แปลผิดแปลถูก"

เช่นเดียวกับรวิกานต์ ที่บอกว่า ภาษาอังกฤษมีผลต่อโอกาสในชีวิตอย่างมาก เพราะภาษาเป็นตัวที่ทำให้เก่งมากขึ้น มีโอกาสมากขึ้น
"เราพูดได้เลยว่า ทุกเวทีที่เป็นระดับนานาชาติเลือกเรา เพราะเราได้ภาษาก่อน แล้วเรามีอย่างอื่นประกอบในสิ่งที่เขาต้องการด้วย ซึ่งไม่เคยเสียใจเลยที่บากบั่นสามสี่เดือนนั้นมาได้ เพราะวันไหนที่เป็นภาษาอังกฤษแล้ว มันก็จะเป็นทักษะพื้นฐาน ยิ่งฝึกมากขึ้น ก็ยิ่งเก่งขึ้นๆ เหมือนปั่นจักรยาน มันมีคำว่าปั่นเป็น ซึ่งเราจะไม่ล้มแล้ว จะปั่นไปไหน ขึ้นเขา ทางขรุขระก็อีกเรื่อง ภาษาอังกฤษก็เหมือนกัน มันก็มีคำว่าพูดเป็น พอถึงจุดที่ได้ เราจะมีแต่เก่งขึ้นๆ"
บทสรุปของการพัฒนาภาษาอังกฤษนั้น หลักใหญ่ใจความเอนเอียงมาที่การ "ฝึกฝนด้วยตนเอง" มากกว่าการรอให้นโยบาย หรือหลักสูตรการสอนสมบูรณ์ ดังนั้น หากต้องการมีทักษะด้านใด การฝึกฝน ฝึกหัด ความอดทนมีความสำคัญมากทีเดียว เช่นเดียวกับที่ รวิกานต์ ได้ฝากประโยคมาให้ผู้ที่กำลังฝึกภาษาอังกฤษอยู่ในขณะนี้ว่า "Practice makes perfect, but patience makes perfect possible."!!!
ที่มา - ไทยรัฐออนไลน์
http://www.thairath.co.th/content/428384